เราได้อะไรมา และเสียอะไรไป จากการสร้างเขื่อน
ผู้เขียน: ศานิกานต์ เสนีวงศ์ – นักวิชาการ สาขาวิทยาสาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปพักผ่อนที่อ่างเก็บน้ำเหนือ เขื่อนรัชชประภา หรืออีกชื่อหนึ่งคือเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างการเดินทางโดยเรือเพื่อเข้าไปด้านในของอ่างเก็บน้ำ สองข้างทางมีแต่พื้นน้ำที่เวิ้งว้าง กว้างใหญ่ เห็นยอด ภูเขาหินปูนเรียงราย
มองเผินๆแล้วทำให้รู้สึกเหมือนกำลังล่องเรืออยู่กลางทะเล ที่รายล้อมไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อย จ้านวนมาก ระหว่างการเดินทาง ไกด์นำทางก็เล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเขื่อนรัชชประภา แต่มีประเด็นหนึ่งที่สะดุดความสนใจของผู้เขียน คือ ใต้ผืนน้ำสีเขียวมรกตนี้ มีหมู่บ้าน วัดวาอารามและโรงเรียนจมอยู่
ผู้เขียนจึงสอบถามก็ได้ความว่า ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อน พื้นที่บริเวณนี้เคยมีผู้คนอาศัยอยู่หลายหมู่บ้าน แต่เมื่อมีโครงการที่ จะสร้างเขื่อน รัฐบาลได้เวนคืนที่ดินโดยมอบพื้นที่ทำกินในกับราษฎรเพื่อเป็นการทดแทนพื้นที่เดิม ทำให้ผู้คนต้องอพยพออกไป เมื่อสร้างเขื่อนเสร็จ พื้นที่บริเวณเหนือเขื่อนก็จมอยู่ใต้น้ำ และกว่าจะได้เขื่อนมา จะต้องเตรียมพื้นที่สำหรับเก็บน้ำ จึงต้องมีการแผ้วถางป่า อพยพผู้คนและสัตว์ป่า มีผลทำให้วิถีชีวิตของคนในชุมชน เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ผู้เขียนจึงเกิดคำถามว่า การสร้างเขื่อนมีประโยชน์ จริงหรือ
แนวคิดในการสร้างเขื่อน เริ่มต้นมาจากความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และพลังงานที่ประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกประสบอยู่ ประเทศ ต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ตุรกีรวมถึงประเทศไทย ต่างก็มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อเก็บกักน้ำขึ้น ในการสร้างเขื่อนที่ขวางลำน้ำขนาดใหญ่บางครั้งอาจส่งผล กระทบกับหลายๆประเทศที่ลำน้ำนั้นไหลผ่าน เช่น โครงการการสร้างเขื่อนที่ลำน้ำโขง ซึ่งจะมีเนื้อที่อ่างเก็บน้ำประมาณ 806,000 ตารางกิโลเมตร และจะส่งผลต่อประเทศ จีน ลาว ไทย พม่า เวียดนามและกัมพูชา
การสร้างเขื่อนนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน โดยช่วยชะลอความเร็วของน้ำ ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศไทยประสบอยู่เป็นประจำ โดยมีการเก็บกักน้ำไว้ในช่วงที่น้ำหลาก และปล่อยน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และทำการเกษตรในช่วงฤดูที่ขาดแคลนน้ำ เช่น ปริมาณน้ำที่ปล่อยจากเขื่อนรัชชประภาทำให้พื้นที่ ประมาณ 100,000 ไร่บริเวณอำเภอคิรีรัฐนิคม และอำเภอพุนพินสามารถปลูกพืชได้ผลดีในฤดูแล้ง อีกทั้งยังสามารถใช้พลังงานจากน้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เฉลี่ยปีละประมาณ 554 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงอีกด้วย นอกจากนี้เขื่อนบางแห่งยังใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมนันทนาการต่างๆ
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งการสร้างเขื่อนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขื่อนมักจะสร้างบริเวณหุบเขาที่มีลำน้ำไหลผ่าน และสร้างขวางลำน้ำ เพื่อให้มีน้ำมาสะสมบริเวณพื้นที่เหนือเขื่อนดินบริเวณนั้นจะถูกน้ำท่วมขัง ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ และในการสร้างเขื่อนจะใช้พื้นที่กว้างใหญ่ ซึ่งบางพื้นที่อาจเป็นพื้นที่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ส่งผลให้ทรัพยากร ธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ เสียหายไม่สามารถน้ามาใช้ประโยชน์ได้ พืชพันธุ์ที่อยู่บริเวณนั้นล้มตาย ซึ่งพืชบางชนิดอาจเป็นพันธุ์ที่หายาก พื้นที่ป่าแปรสภาพเป็นพื้นที่น้ำท่วมขัง ทำให้สัตว์ป่าบางส่วนที่หนีน้ำไม่ทันก็ต้องจบชีวิตลง บางส่วนไม่มีที่อยู่อาศัย จนต้องมีการอพยพสัตว์ป่าออกจากพื้นที่สร้างเขื่อน ดังเช่น การอพยพสัตว์ป่าที่ตกค้างออกจากพื้นที่อ่างเก็บน้ำในเขื่อนรัชชประภา ในปี พ.ศ. 2529 นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศแหล่งน้ำ จากระบบนิเวศแบบน้ำไหลกลายเป็นแบบน้ำนิ่ง สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในระบบนิเวศน้ำไหลจะลดจำนวนลง และยังส่งผลต่อการอพยพของปลาหลายสายพันธุ์
จะเห็นได้ว่าการสร้างเขื่อนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ในการสร้างเขื่อนแต่ละครั้ง จึงมีกลุ่มคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยเสมอ ดังเช่นกรณีพิพาทในการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ที่จังหวัดแพร่ แล้วผู้อ่าน มีความคิดเห็นเป็นอย่างไร
บรรณานุกรม
- World Wildlife Fund (WWF). (2004). Rivers at risk: dams and the future of freshwater ecosystems. เข้าถึงข้อมูลได้ที่ http://assets.panda.org/downloads/riversatriskfullreport.pdf.
- Postel, S., and B. Richter. (2003). Rivers for life: anaging water for people and nature. Island Press, Washington, D.C., USA.